กีฬากอล์ฟเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยทักษะและการฝึกฝน แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ประเภทของสนามกอล์ฟ ที่มีความแตกต่างกันตามภูมิประเทศ สภาพอากาศ และรูปแบบการออกแบบ ซึ่งสามารถส่งผลต่อการเล่นของนักกอล์ฟได้อย่างมาก บทความนี้จะช่วยให้คุณทำความรู้จักกับ สนามกอล์ฟประเภทต่างๆ, วิธีเลือกสนามที่เหมาะกับสไตล์การเล่น และสนามกอล์ฟระดับโลกที่ควรลอง
ทำความรู้จัก สนามกอล์ฟแบบ Links, Parkland, Desert
สนามกอล์ฟถูกออกแบบมาในหลายรูปแบบเพื่อให้เหมาะกับภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน โดยสนามกอล์ฟหลัก ๆ สามารถแบ่งออกเป็นสามประเภท ได้แก่
1. สนามกอล์ฟแบบ Links
- เป็น รูปแบบสนามกอล์ฟดั้งเดิม ที่พบได้มากในสกอตแลนด์และไอร์แลนด์
- ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเล มี ลักษณะเป็นเนินทรายและไม่มีต้นไม้มากนัก
- สภาพแวดล้อมเปิดโล่ง ทำให้ได้รับผลกระทบจาก ลมแรง
- กรีนมักจะ แข็งและเร็ว ทำให้ลูกกลิ้งไปได้ไกล
- ตัวอย่างสนามกอล์ฟแบบ Links ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ St Andrews (สกอตแลนด์), Royal Birkdale (อังกฤษ)
2. สนามกอล์ฟแบบ Parkland
- เป็นสนามกอล์ฟที่พบมากที่สุด ในอเมริกาและเอเชีย
- ถูกออกแบบให้มี ต้นไม้เยอะ แฟร์เวย์เขียวขจี และกรีนที่เรียบกว่า Links
- มักจะอยู่ในพื้นที่ราบ ไม่ได้รับผลกระทบจากลมแรงมากนัก
- เหมาะสำหรับนักกอล์ฟที่ต้องการ ความแม่นยำในการตีและควบคุมระยะทาง
- ตัวอย่างสนามกอล์ฟแบบ Parkland ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Augusta National (สหรัฐอเมริกา), Muirfield Village (สหรัฐอเมริกา)
3.สนามกอล์ฟแบบ Desert
- พบมากในพื้นที่ทะเลทราย เช่น ดูไบ, แอริโซนา และลาสเวกัส
- สนามมีลักษณะ แฟร์เวย์แคบ มีหญ้าสีเขียวตัดกับภูมิประเทศที่เป็นทรายและหิน
- มีอุปสรรคเยอะ เช่น เนินทราย, ต้นกระบองเพชร และบ่อน้ำ
- ต้องใช้ กลยุทธ์ที่แม่นยำ ในการเล่นเพราะแฟร์เวย์แคบ
- ตัวอย่างสนามกอล์ฟแบบ Desert ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Emirates Golf Club (ดูไบ), TPC Scottsdale (สหรัฐอเมริกา)
วิธีเลือกสนามที่เหมาะกับการเล่นของคุณ
การเลือกสนามกอล์ฟที่เหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มความสนุกและประสิทธิภาพในการเล่นของคุณได้ สนามแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะที่ส่งผลต่อกลยุทธ์และความท้าทายในการเล่น การพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น สภาพภูมิประเทศ ระดับความยาก และสไตล์การเล่นของคุณจะช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม มาดูกันว่าสนามแบบไหนที่เหมาะกับคุณ
1. สนามกอล์ฟสำหรับนักกอล์ฟมือใหม่
- ควรเลือกสนามที่ มีแฟร์เวย์กว้างและไม่ซับซ้อน เช่น สนามแบบ Parkland
- หลีกเลี่ยงสนามที่มีอุปสรรคเยอะ เช่น บังเกอร์ลึกหรือน้ำ
- สนามที่มี กรีนขนาดใหญ่และเรียบ จะช่วยให้พัตต์ได้ง่ายขึ้น
2.สนามกอล์ฟสำหรับนักกอล์ฟระดับกลาง
- สนามที่มีความท้าทายเพิ่มขึ้น เช่น สนามแบบ Links หรือ Parkland ที่มีอุปสรรคมากขึ้น
- ควรลองเล่นในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันเพื่อพัฒนาทักษะ
- ฝึกการเล่นในสนามที่มี ลมแรงหรือกรีนที่เร็ว เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านไลน์และควบคุมลูกกอล์ฟ
3. สำหรับนักกอล์ฟมืออาชีพ
- สนามที่มีอุปสรรคท้าทาย เช่น สนามแบบ Desert หรือ Links
- ควรเลือกสนามที่ มีแฟร์เวย์แคบ กรีนเร็ว และต้องใช้กลยุทธ์สูง
- ลองเล่นในสนามที่ใช้ในการแข่งขันระดับโลกเพื่อทดสอบทักษะของตัวเอง
4 สนามกอล์ฟระดับโลกที่ควรลอง
สำหรับนักกอล์ฟที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์การเล่นในสนามระดับโลก มีหลายแห่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามและความท้าทาย สนามเหล่านี้ได้รับการออกแบบโดยนักออกแบบชั้นนำและใช้จัดการแข่งขันระดับเมเจอร์ การได้ลองออกรอบในสนามกอล์ฟชื่อดังเหล่านี้ถือเป็นโอกาสที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ที่รักกีฬากอล์ฟ
1. St Andrews (สกอตแลนด์)
- เป็นสนามกอล์ฟแบบ Links ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
- ได้รับการขนานนามว่าเป็น “บ้านของกีฬากอล์ฟ”
- เป็นสถานที่จัดการแข่งขัน The Open Championship หลายครั้ง
2. Augusta National (สหรัฐอเมริกา)
- สนามที่ใช้จัดการแข่งขัน The Masters หนึ่งใน 4 รายการเมเจอร์ของกอล์ฟ
- มีแฟร์เวย์เขียวขจีและกรีนที่เร็วมาก
- เป็นสนามแบบ Parkland ที่มีทิวทัศน์สวยงาม
3. Pebble Beach Golf Links (สหรัฐอเมริกา)
- เป็นสนามที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย มีวิวทะเลที่งดงาม
- ได้รับการจัดการแข่งขัน U.S. Open หลายครั้ง
- เป็นหนึ่งในสนามที่นักกอล์ฟทั่วโลกอยากลองเล่น
4. Emirates Golf Club (ดูไบ)
- เป็นสนามแบบ Desert ที่มีแฟร์เวย์สวยงามและอุปสรรคที่ท้าทาย
- ใช้เป็นสนามแข่ง Dubai Desert Classic รายการใหญ่ของ European Tour
สนามกอล์ฟมีหลายประเภท Links, Parkland และ Desert ซึ่งแต่ละแบบมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน การเลือกสนามที่เหมาะกับระดับฝีมือของคุณจะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะได้เร็วขึ้น และหากคุณต้องการสัมผัสสนามระดับโลก สนามอย่าง St Andrews, Augusta National และ Pebble Beach ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่ควรพลาด
แหล่งข้อมูล
- PGA Tour: https://www.pgatour.com
- Golf Digest: https://www.golfdigest.com
- USGA: https://www.usga.org
- The R&A: https://www.randa.org